คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ
เร่งพิจารณาร่างกฎหมายลูก 4 ฉบับ เสนอนายกลงนาม
คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ
ตั้งคณะอนุกรรมการเร่งพิจารณาร่างกฎหมายลูกตาม
พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 จำนวน 4 ฉบับ ได้แก่
การห้ามขายเหล้าปั่น การกำหนดสถานที่ห้ามขาย ห้ามดื่ม
และฉลากบรรจุภัณฑ์ เพื่อไม่ให้ขัดกับกฎหมาย
หากเห็นชอบพร้อมเสนอนายกลงประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา
วันนี้
(23 ธันวาคม 2552) ที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร พลตรีสนั่น
ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี
ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ
เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ครั้งที่ 4
ประจำปี 2552 ว่า ในวันนี้ที่ประชุมได้ร่วมพิจารณาร่างกฎหมายลูกตาม
พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 จำนวน 4 ฉบับ ได้แก่
1.ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่องกำหนดวิธีการหรือลักษณะในการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.
2552 ซึ่งห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรูปแบบของการนำมาผสมในน้ำหวาน
น้ำผลไม้ หรือน้ำที่มีกลิ่นผลไม้ หรือสิ่งอื่นใดแล้วนำมาปั่นรวมกัน
เช่น เหล้าปั่น
ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่นและมีขายอย่างแพร่หลาย
ตามร้านข้างถนน รอบๆ สถานศึกษา หรือรถเข็นตามตลาดนัด
ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด
โดยยกเว้นให้ขายได้ในสถานบริการที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการเท่านั้น
เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ร่างกฎหมายฉบับนี้
ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อวันที่ 2
กรกฎาคม 2552
และนำเข้าขอคำแนะนำจากคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ก่อนส่งให้นายกรัฐมนตรีลงนาม
และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
หากฝ่าฝืนลักลอบขายจะมีโทษจำคุก 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ ฉบับที่ 2 ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง
กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2552
กำหนดห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่อยู่ห่างไม่เกิน
500 เมตร จากรั้วหรือแนวเขตสถานศึกษาตั้งแต่ระดับประถมขึ้นไป
โดยยกเว้นให้ขายได้ในสถานที่ที่ได้รับการผ่อนผัน
และโรงแรมที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมก่อนวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ
รวมถึงผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขายสุราก่อนวันที่ประกาศมีผลบังคับใช้
ให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อไปได้จนกว่าใบอนุญาตจะหมดอายุ
หากคณะกรรมการเห็นชอบจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีลงนามและมีผลบังคับใช้ 180
วัน นับตั้งแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับที่ 3
ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดสถานที่
หรือบริเวณห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
โดยห้ามดื่มในสถานที่หรือบริเวณหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ
และภายในหรือบนยานพาหนะทางบกที่อยู่ในที่หรือทางสาธารณะ
ยกเว้นบริเวณที่จัดไว้เป็นที่พักส่วนบุคคล หรือสโมสร
หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี
หากที่ประชุมเห็นชอบจะเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และมีผลบังคับใช้วันถัดไป ฉบับที่ 4
ร่างประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ว่าด้วยฉลากข้อความคำเตือนพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้า
ซึ่งกำหนดให้ภาชนะบรรจุที่มีลักษณะเป็นขวด
ต้องมีปริมาณสุทธิไม่น้อยกว่า 250 มิลลิลิตร ส่วนภาชนะที่เป็นกระป๋อง
ไห ถุงหรือรูปแบบอื่นๆปริมาณบรรจุไม่น้อยกว่า 300 มิลลิลิตร
โดยฉลากที่ติดข้างภาชนะหรือกล่องบรรจุ
จะต้องไม่มีข้อความที่อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่า
เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีความปลอดภัย ส่งผลดีต่อสุขภาพ
มีระดับสารอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วไป
หรือมีลักษณะเป็นการโฆษณาทั้งโดยตรงหรืออ้อม และให้พิมพ์ข้อความว่า
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามจำหน่ายแก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20
ปีบริบูรณ์ ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท เป็นภาษาไทย
ตัวอักษรสีขาวบนแถบสีดำเข้ม ขนาดตัวอักษรใหญ่ไม่น้อยกว่า 20 พอยต์
อ่านง่าย และมองเห็นชัดเจน
ซึ่งร่างประกาศดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2552
นอกจากนี้
ยังกำหนดให้จัดพิมพ์ภาพคำเตือนโทษและพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
ที่ฉลากติดข้างภาชนะและหีบห่อบรรจุ เป็นรูปภาพ 4 สี 6 แบบ
เช่นเดียวกับการเตือนภัยอันตรายของบุหรี่ อาทิ
ดื่มสุราทำให้เป็นโรคตับแข็ง ดื่มสุราแล้วขับขี่ทำให้พิการและตายได้
ดื่มสุราทำให้ขาดสติและเสียชีวิตได้ ดื่มสุราทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ดื่มสุราทำร้ายตัวเอง ทำลายลูกและครอบครัว
ดื่มสุราเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเด็กและเยาวชน เป็นต้น โดยให้พิมพ์ 1
แบบต่อ 1,000 ขวด/กระป๋อง/กล่อง
ทั้งนี้
ที่ประชุมจะตั้งคณะอนุกรรมการ เร่งศึกษาถึงผลกระทบของร่างประกาศทั้ง 4
ฉบับ เพื่อไม่ให้ขัดกับข้อกฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง
หากผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
จะนำเสนอผู้มีอำนาจลงนาม เพื่อประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา
และบังคับใช้ต่อไป โดยขณะที่ยังไม่มีการประกาศใช้ประกาศทั้ง 4 ฉบับ
ได้แต่ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดูแลและปราบปรามให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่มีอยู่
โดยมี พลตำรวจเอกปานศิริ ประภาวัตร์ รองอธิบดีกรมตำรวจ เป็นประธาน
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าในช่วง 11 ปี
(พ.ศ.2539-2550) เยาวชนอายุ 15-19 ปี
มีอัตราการดื่มประจำเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70
ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านอบายมุขมากมาย และจากข้อมูลทางวิชาการในรอบ 1
ปีที่ผ่านมา มีจำนวนร้านเหล้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 59 โดยในรัศมี 500
เมตรรอบมหาวิทยาลัยมีร้านเหล้าเฉลี่ยถึง 57 ร้าน
ที่น่าเป็นห่วงมากคือโรงเรียนประถมหรือมัธยมมีร้านเหล้าตั้งอยู่ในรัศมี
100 เมตรถึงร้อยละ 73
************************** 23 ธันวาคม
2552
|
แหล่งข่าวโดย.... สำนักสารนิเทศ
[23/ธ.ค/2552]
| |